หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เกิดจากอะไร ทำไมพบบ่อยในวัยทำงาน
05 พฤศจิกายน 2024
ผู้ชม: 12 คน

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคที่วัยทำงานต้องระวัง

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในวัยทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงอายุ 30-50 ปี ซึ่งเป็นวัยที่มีความเสี่ยงสูงต่อการเกิดโรคนี้ เนื่องจากเป็นช่วงที่ร่างกายเริ่มเสื่อมสภาพและมีภาระงานที่หนักขึ้น ในบทความนี้ TIPINSURE จะพาคุณไปทำความรู้จักและเข้าใจมากขึ้นเกี่ยวกับสาเหตุ อาการ และวิธีการป้องกัน เพื่อให้ทุกคนในวัยทำงานได้เตรียมพร้อมรับมือและห่างไกลจากโรคนี้ไปด้วยกัน

 

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เกิดจากอะไร

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เกิดจากการที่หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนออกจากตำแหน่งปกติและไปกดทับเส้นประสาท ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ดังนี้

การยกของหนัก

การยกของหนักเป็นประจำหรือยกของในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การก้มยกของโดยไม่ย่อเข่า สามารถทำให้เกิดแรงกดดันที่มากเกินไปต่อหมอนรองกระดูก ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนตัวของหมอนรองกระดูกและกดทับเส้นประสาทได้ ดังนั้น การฝึกยกของอย่างถูกวิธีและหลีกเลี่ยงการยกของที่มีน้ำหนักมากเกินไป เพื่อป้องกันปัญหานี้

น้ำหนักตัวที่มากไป

น้ำหนักตัวที่มากเกินไปสามารถเพิ่มแรงกดดันต่อกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก ทำให้เกิดการเสื่อมสภาพเร็วขึ้นและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท การควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ปกติจึงเป็นวิธีหนึ่งในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคนี้ นอกจากนี้ การรักษาน้ำหนักให้เหมาะสมยังช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคอื่นๆ อีกด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และโรคหัวใจ

การนอนหรือนั่งผิดท่า

การนั่งทำงานเป็นเวลานานโดยไม่มีการเปลี่ยนอิริยาบถ หรือการนอนในท่าที่ไม่ถูกต้อง สามารถทำให้เกิดแรงกดทับต่อกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูกที่ไม่สมดุล ส่งผลให้หมอนรองกระดูกเสื่อมสภาพเร็วขึ้นและมีโอกาสเคลื่อนตัวไปกดทับเส้นประสาทได้โดยตรง ดังนั้น การจัดท่าทางการนั่งและการนอนให้ถูกต้อง รวมถึงการหมั่นลุกขึ้นเดิน หรือยืดเหยียดร่างกายเป็นระยะระหว่างวัน จะช่วยป้องกันปัญหาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้

ขาดการออกกำลังกาย

หากขาดการออกกำลังกาย จะทำให้กล้ามเนื้อรอบกระดูกสันหลังอ่อนแอ ไม่สามารถรองรับน้ำหนักและแรงกระแทกได้ดีเท่าที่ควร ส่งผลให้หมอนรองกระดูกต้องรับแรงกดดันมากขึ้นและเสี่ยงต่อการเคลื่อนตัวไปกดทับเส้นประสาท การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการบริหารกล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัว จึงเป็นวิธีที่ช่วยลดความเสี่ยงของการเกิดหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทได้อย่างมีประสิทธิภาพ

 

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท อาการเป็นแบบไหน

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท มีอาการที่พบได้บ่อย ดังนี้

ปวดร้าวบริเวณสะโพก

อาการปวดร้าวบริเวณสะโพกเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีปัญหาหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โดยเฉพาะเมื่อหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนตัวอยู่ในบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง ความเจ็บปวดอาจแผ่ร้าวลงไปตามขาจนถึงเท้า ทำให้การเคลื่อนไหวเป็นไปอย่างยากลำบาก อาการปวดมักจะรุนแรงขึ้นเมื่อคุณไอ จาม หรือเปลี่ยนท่าทางอย่างกะทันหัน

กล้ามเนื้ออ่อนแรง

การที่หมอนรองกระดูกไปกดทับเส้นประสาทสามารถทำให้เกิดอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงในบริเวณที่เส้นประสาทนั้นควบคุม เช่น หากเกิดการกดทับที่เส้นประสาทบริเวณกระดูกสันหลังส่วนคอ อาจทำให้แขนและมืออ่อนแรง หรือหากเกิดที่บริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง อาจทำให้ขาและเท้าอ่อนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการทำกิจวัตรประจำวันและการทำงานอย่างมาก

ชาบริเวณปลายเท้า

อาการชาบริเวณปลายเท้า เป็นอีกหนึ่งอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โดยเฉพาะเมื่อการกดทับเกิดขึ้นที่เส้นประสาทในบริเวณกระดูกสันหลังส่วนล่าง อาการชาอาจเริ่มจากสะโพกและแผ่ลงไปตามขาจนถึงปลายเท้า บางครั้งอาจรู้สึกเหมือนมีเข็มทิ่มแทงหรือรู้สึกร้อนวูบวาบตามผิวหนัง

นอกจากอาการที่กล่าวมาข้างต้น ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น

  • ปวดต้นคอหรือหลังส่วนล่าง โดยเฉพาะเมื่อเคลื่อนไหวหรือเปลี่ยนท่าทาง
  • มีปัญหาในการควบคุมการขับถ่าย (ในกรณีที่รุนแรง)
  • ปวดเมื่อยตามร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณที่มีการกดทับเส้นประสาท
  • นอนไม่หลับเนื่องจากอาการปวด

หากคุณสังเกตพบอาการเหล่านี้ ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและการรักษาที่เหมาะสมแต่เนิ่นๆ จะสามารถช่วยป้องกันไม่ให้อาการลุกลามจนรุนแรงและยากต่อการรักษาได้

 

หากเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท จะรักษาหายไหม

การรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทมีหลายวิธี ขึ้นอยู่กับความรุนแรงของอาการและตำแหน่งที่เกิดปัญหา โดยทั่วไปแล้ว การรักษาสามารถแบ่งออกเป็นสองแนวทางหลักๆ คือ การรักษาแบบไม่ผ่าตัดและการรักษาด้วยการผ่าตัด

การรักษาแบบไม่ผ่าตัด

  1. การพักผ่อนและหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมที่อาจทำให้อาการแย่ลง
  2. การใช้ยาแก้ปวดและยาลดการอักเสบ
  3. การทำกายภาพบำบัด เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและเพิ่มความยืดหยุ่น
  4. การใช้เครื่องพยุงหลังหรือคอ เพื่อลดแรงกดดันบนกระดูกสันหลัง
  5. การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าบริเวณที่มีการอักเสบ เพื่อลดอาการปวดและบวม
     

การรักษาด้วยการผ่าตัด

  1. ผ่าตัดเพื่อนำชิ้นส่วนของหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนออกมา
  2. ผ่าตัดเชื่อมกระดูกสันหลัง ในกรณีที่มีความไม่มั่นคงของกระดูกสันหลัง

โดยทั่วไป แพทย์มักจะเริ่มต้นด้วยการรักษาแบบไม่ผ่าตัดก่อน เนื่องจากผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถหายหรือมีอาการดีขึ้นได้โดยไม่จำเป็นต้องผ่าตัด อย่างไรก็ตาม หากอาการไม่ดีขึ้นเป็นเวลา 6-12 สัปดาห์ หรือมีอาการรุนแรง เช่น กล้ามเนื้ออ่อนแรงมาก หรือมีปัญหาในการควบคุมการขับถ่าย แพทย์อาจพิจารณาการรักษาด้วยการผ่าตัด

ความสำเร็จในการรักษาขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น ความรุนแรงของอาการ ระยะเวลาที่เป็นโรค อายุและสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย รวมถึงความร่วมมือในการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติหลังการรักษา แต่อาจต้องระมัดระวังและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำ ซึ่งสามารถทำได้โดย

  1. รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เน้นการเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัว
  3. รักษาท่าทางการนั่งและการยืนให้ถูกต้อง
  4. หลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บ
  5. เลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากการสูบบุหรี่สามารถเร่งการเสื่อมสภาพของหมอนรองกระดูก

การมีประกันอุบัติเหตุหรือประกันสุขภาพเหมาจ่ายที่ครอบคลุมการรักษาโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเป็นอีกหนึ่งวิธีที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกรณีที่จำเป็นต้องรับการผ่าตัด ซึ่งอาจมีค่าใช้จ่ายที่สูงอย่างมาก

 

สรุปบทความ

โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเป็นปัญหาสุขภาพที่พบบ่อยในวัยทำงาน มีสาเหตุมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ไม่เหมาะสม เช่น การยกของหนัก น้ำหนักเกิน และการนั่งนอนผิดท่า ส่งผลให้เกิดอาการปวดร้าว ชา และกล้ามเนื้ออ่อนแรง การรักษามีทั้งแบบผ่าตัดและไม่ผ่าตัด ขึ้นอยู่กับความรุนแรง แต่การป้องกันด้วยการปรับพฤติกรรม ออกกำลังกาย และดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยป้องกันปัญหานี้ได้ นอกจากนี้ การมีประกันสุขภาพที่ครอบคลุมจากทิพยประกันภัย จะช่วยให้คุณพร้อมรับมือกับค่าใช้จ่ายในการรักษาที่อาจเกิดขึ้น ทำให้สามารถใช้ชีวิตและทำงานได้อย่างมีความสุข โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาสุขภาพและค่าใช้จ่ายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

#Tag: