ชวนรู้จักกับโรคผิวหนังสุนัข สาเหตุที่ทำให้เจ้าตูบเกาไม่หยุด
15 พฤศจิกายน 2024
ผู้ชม: 3 คน

รู้จักโรคผิวหนังในสุนัข ต้นเหตุที่ทำให้เจ้าตูบคันไม่หยุด!

หากคุณเป็นทาสหมาตัวจริง คงเคยสังเกตเห็นเจ้าตูบของคุณเกาตัวไม่หยุดจนน่าเป็นห่วง นั่นอาจเป็นสัญญาณของโรคผิวหนังสุนัข ปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในสุนัขทุกสายพันธุ์ บทความนี้ TIPINSURE จะพาคุณไปทำความรู้จักกับโรคผิวหนังสุนัข สาเหตุ อาการ และวิธีดูแลรักษาเบื้องต้น เพื่อให้คุณสามารถดูแลเจ้าตูบสุดที่รักได้อย่างถูกต้องและทันท่วงที

 

โรคผิวหนังสุนัขที่พบได้บ่อย

โรคผิวหนังสุนัขเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยในสุนัขทุกสายพันธุ์ ทุกเพศ และทุกวัย สาเหตุของโรคผิวหนังสุนัขมีหลากหลาย ตั้งแต่การติดเชื้อ ปรสิต ภูมิแพ้ ไปจนถึงความผิดปกติทางพันธุกรรม การรู้จักสาเหตุและอาการของโรคผิวหนังสุนัขจะช่วยให้คุณสามารถสังเกตอาการผิดปกติและพาสุนัขไปพบสัตวแพทย์ได้ทันก่อนอาการลุกลามรุนแรง

 

5 โรคผิวหนังสุนัขหลักๆ ที่พบได้บ่อย

โรคผิวหนังสุนัขหลักๆ ที่พบได้บ่อย แบ่งออกเป็น 5 กลุ่มโรค ดังนี้

กลุ่มโรคติดเชื้อปรสิตภายนอก

  1. โรคขี้เรื้อน (Mange) โรคขี้เรื้อนเกิดจากไรขนาดเล็กที่อาศัยอยู่บนผิวหนังหรือในรูขุมขนของสุนัข ทำให้เจ้าตูบมีอาการ คันมาก ขนร่วง ผิวหนังแดง เป็นสะเก็ด โดยจะแบ่งเป็น 2 ชนิดหลัก
  • ขี้เรื้อนเดโมเดกซ์ (Demodectic mange) : เกิดจากไรเดโมเดกซ์ มักพบในลูกสุนัขหรือสุนัขที่มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
  • ขี้เรื้อนซาร์คอปติก (Sarcoptic mange) : เกิดจากไรซาร์คอปเตส สามารถติดต่อสู่คนได้
  1. โรคเห็บ (Tick infestation) เกิดจากเห็บซึ่งเป็นปรสิตภายนอกที่ดูดเลือดสุนัข นอกจากจะทำให้เกิดอาการคันและระคายเคืองผิวหนังแล้ว ยังอาจเป็นพาหะนำโรคร้ายแรงอื่นๆ มาสู่สุนัขได้
  2. โรคหมัด (Flea infestation) หมัดเป็นปรสิตขนาดเล็กที่อาศัยอยู่บนตัวสุนัข ดูดเลือด และวางไข่ การระบาดของหมัดสามารถทำให้เกิดอาการแพ้และผิวหนังอักเสบรุนแรงได้ ให้สังเกตอาการคัน โดยเฉพาะบริเวณโคนหาง สะโพก และท้อง และพบหมัดหรือมูลหมัดบนตัวสุนัข

 

กลุ่มโรคติดเชื้อแบคทีเรีย ยีสต์และเชื้อรา

  1. โรคผิวหนังอักเสบจากแบคทีเรีย (Bacterial dermatitis) เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียที่ผิวหนัง มักพบในสุนัขที่มีบาดแผล หรือมีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ โดยจะมีอาการ ผิวหนังแดง เป็นตุ่มหนอง มีสะเก็ด ขนร่วง และมีกลิ่นเหม็น
  2. โรคผิวหนังอักเสบจากยีสต์ (Yeast dermatitis) เกิดจากการเจริญเติบโตมากเกินไปของเชื้อยีสต์บนผิวหนัง มักพบในสุนัขที่มีผิวหนังชื้นแฉะ หรือมีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โดยจะมีอาการ ผิวหนังแดง คัน มีกลิ่นเหม็นคล้ายกลิ่นเหม็นอับ ผิวหนังหนาตัวและมีสีเข้มขึ้น
  3. โรคกลาก (Ringworm) แม้จะมีชื่อว่า "หนอน" แต่จริงๆ แล้วเกิดจากการติดเชื้อราที่ผิวหนัง สามารถติดต่อสู่คนและสัตว์อื่นได้ โดยจะมีอาการผิวหนังเป็นวงกลมแดง ขนร่วงเป็นหย่อมๆ อาจมีสะเก็ด

 

กลุ่มโรคภูมิแพ้

  1. โรคภูมิแพ้อาหาร (Food allergy) เกิดจากการแพ้โปรตีนในอาหารที่สุนัขรับประทาน เช่น เนื้อไก่ เนื้อวัว ไข่ หรือธัญพืชบางชนิด ทำให้มีอาการคันตามผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณใบหู เท้า ก้น และท้อง อาจมีอาการทางระบบทางเดินอาหารร่วมด้วย
  2. โรคภูมิแพ้สิ่งแวดล้อม (Atopic dermatitis) เกิดจากการแพ้สารก่อภูมิแพ้ในสิ่งแวดล้อม เช่น ละอองเกสร ไรฝุ่น หรือเชื้อรา ทำให้มีอาการคันตามผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณใบหน้า เท้า ใต้ท้อง และรักแร้ อาการมักแย่ลงตามฤดูกาล
  3. โรคภูมิแพ้จากการสัมผัส (Contact allergy) เกิดจากการสัมผัสกับสารที่ก่อให้เกิดอาการแพ้ เช่น น้ำยาทำความสะอาด พลาสติก หรือโลหะบางชนิด ทำให้มีอาการผิวหนังแดง คัน และอักเสบเฉพาะบริเวณที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้

 

กลุ่มโรคความผิดปกติของฮอร์โมน

  1. โรคต่อมไทรอยด์ทำงานน้อย (Hypothyroidism) เกิดจากการที่ต่อมไทรอยด์ผลิตฮอร์โมนไม่เพียงพอ ส่งผลกระทบต่อผิวหนังและขน และมีอาการขนร่วง ผิวหนังแห้ง หนา และมีสีเข้มขึ้น มักพบร่วมกับอาการอื่นๆ เช่น อ้วนขึ้น เฉื่อยชา
  2. โรคคุชชิ่ง (Cushing's disease) เกิดจากการมีฮอร์โมนคอร์ติซอลในร่างกายมากเกินไป ส่งผลกระทบต่อผิวหนังและระบบอื่นๆ ในร่างกาย และมีอาการผิวหนังบาง เปราะ ขนร่วง ผิวหนังคล้ำ อาจพบรอยช้ำง่าย ท้องป่อง กินน้ำและปัสสาวะบ่อย

 

กลุ่มโรคอื่นๆ

  1. โรคผิวหนังอักเสบจากการเลีย (Lick granuloma) เกิดจากการที่สุนัขเลียหรือกัดผิวหนังบริเวณเดิมซ้ำๆ จนเกิดแผลและการอักเสบ มักเกิดจากความเครียดหรือความวิตกกังวล มักมีอาการแผลเปิดบริเวณขาหน้าหรือขาหลัง ผิวหนังหนาตัวและมีสีเข้มขึ้น
  2. โรคผิวหนังอักเสบจากการกัด (Flea allergy dermatitis) เกิดจากการแพ้น้ำลายหมัด แม้จะมีหมัดเพียงตัวเดียวก็สามารถทำให้เกิดอาการแพ้รุนแรงได้ สังเกตอาการคันมาก โดยเฉพาะบริเวณโคนหาง สะโพก และท้อง ผิวหนังแดง เป็นตุ่ม และอาจมีแผลจากการเกา
  3. โรคผิวหนังอักเสบจากการอุดตันของต่อมไขมัน (Sebaceous adenitis) เกิดจากการอักเสบและการทำลายของต่อมไขมันในผิวหนัง พบได้บ่อยในสุนัขบางสายพันธุ์ เช่น พุดเดิล อัฟกัน ฮาวด์ ทำให้มีอาการขนร่วง ผิวหนังแห้ง เป็นสะเก็ด มักเริ่มจากบริเวณหัวและหู แล้วลามไปทั่วตัว

 

 

สัญญาณหรือรอยโรคที่สังเกตได้

เมื่อสุนัขของคุณเป็นโรคผิวหนัง คุณอาจสังเกตเห็นสัญญาณหรือรอยโรคต่อไปนี้

  1. อาการคัน: สุนัขจะเกาตัว กัด หรือเลียผิวหนังบ่อยๆ
  2. ขนร่วง: อาจพบขนร่วงเป็นหย่อมๆ หรือทั่วทั้งตัว
  3. ผิวหนังแดง: ผิวหนังอาจมีสีแดงหรืออักเสบ โดยเฉพาะในบริเวณที่สุนัขเกาบ่อยๆ
  4. ผื่น: อาจพบผื่นแดง ตุ่มนูน หรือตุ่มหนองบนผิวหนัง 
  5. สะเก็ด: อาจพบสะเก็ดแห้งหรือมันบนผิวหนัง 
  6. กลิ่นตัว: สุนัขอาจมีกลิ่นตัวผิดปกติ โดยเฉพาะในกรณีที่เป็นโรคผิวหนังจากการติดเชื้อ 
  7. แผลเปิด: ในบางกรณี อาจพบแผลเปิดจากการที่สุนัขเกาหรือกัดตัวเอง 
  8. การเปลี่ยนแปลงของสีผิว: ผิวหนังอาจมีสีเข้มขึ้นหรือจางลงในบางบริเวณ 
  9. ผิวหนังหนาตัว: ในบางโรค เช่น โรคภูมิแพ้เรื้อรัง ผิวหนังอาจหนาตัวขึ้น

หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ในสุนัขของคุณ ควรพาไปพบสัตวแพทย์โดยเร็วที่สุด เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาอย่างถูกต้อง

 

ทำอย่างไรเมื่อหมาเป็นโรคผิวหนัง

เมื่อคุณสงสัยว่าสุนัขของคุณอาจเป็นโรคผิวหนัง ควรปฏิบัติดังนี้

  1. พาไปพบสัตวแพทย์: การวินิจฉัยที่ถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาโรคผิวหนังสุนัข สัตวแพทย์จะตรวจร่างกาย และอาจทำการตรวจเพิ่มเติม เช่น การขูดผิวหนัง การเพาะเชื้อ หรือการตรวจเลือด เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง
  2. ทำความสะอาดผิวหนังและขน: อาบน้ำสุนัขด้วยแชมพูที่เหมาะสมตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ การทำความสะอาดจะช่วยลดการระคายเคืองและการติดเชื้อ
  3. ให้ยาตามที่สัตวแพทย์สั่ง: อาจเป็นยาทาภายนอก ยากิน หรือยาฉีด ขึ้นอยู่กับชนิดของโรคผิวหนัง
  4. ป้องกันไม่ให้สุนัขเกาหรือกัดผิวหนัง: อาจใช้ปลอกคอกันเลีย หรือเสื้อป้องกัน เพื่อให้แผลหายเร็วขึ้น
  5. ปรับเปลี่ยนอาหาร: ในกรณีที่สงสัยว่าเป็นโรคภูมิแพ้อาหาร สัตวแพทย์อาจแนะนำให้เปลี่ยนสูตรอาหารหรือใช้อาหารเฉพาะทาง
  6. กำจัดปรสิตภายนอก: ใช้ผลิตภัณฑ์กำจัดหมัดและเห็บตามคำแนะนำของสัตวแพทย์
  7. ลดความเครียด: ความเครียดอาจทำให้อาการของโรคผิวหนังแย่ลง พยายามสร้างสภาพแวดล้อมที่ผ่อนคลายให้กับสุนัข
  8. ติดตามอาการอย่างใกล้ชิด: สังเกตการเปลี่ยนแปลงของอาการ และแจ้งสัตวแพทย์หากอาการแย่ลงหรือไม่ดีขึ้น
  9. ทำความสะอาดสิ่งแวดล้อม: ซักทำความสะอาดที่นอน ผ้าห่ม และของเล่นของสุนัขเพื่อลดการแพร่กระจายของเชื้อโรคหรือปรสิต
  10. พิจารณาทำประกันสัตว์เลี้ยง: การทำประกันสุขภาพสำหรับสุนัขอาจช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคผิวหนังที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต

 

 

สรุปบทความ

โรคผิวหนังสุนัขเป็นปัญหาสุขภาพที่พบได้บ่อยและอาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของเจ้าตูบอย่างมาก การรู้จักสาเหตุ อาการ และวิธีการดูแลรักษาเบื้องต้น จะช่วยให้คุณสามารถช่วยเหลือสุนัขของคุณได้อย่างทันท่วงทีจากการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องจากสัตวแพทย์

นอกจากนี้ การทำประกันสัตว์เลี้ยง นับเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับเจ้าของสุนัขที่ต้องการความคุ้มครองค่าใช้จ่ายในการรักษาโรคผิวหนังและโรคอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต ดังนั้นการดูแลสุขภาพผิวหนังของสุนัขอย่างสม่ำเสมอ ร่วมกับการสังเกตอาการผิดปกติและพาไปพบสัตวแพทย์โดยทันที จะช่วยให้เจ้าตูบของคุณมีสุขภาพผิวที่ดีและมีความสุขไปกับคุณได้อย่างยาวนาน

#Tag: