ใบอนุญาตขับขี่สากล คืออะไร ขับขี่ได้ทุกประเทศเลยหรือเปล่า
25 มิถุนายน 2024
ผู้ชม: 974 คน

รู้จักกับใบอนุญาตขับขี่สากล ใช้ประเทศอะไรได้บ้าง

การเดินทางไปต่างประเทศด้วยการขับรถยนต์เที่ยวเอง กำลังเป็นที่นิยมมากขึ้นเรื่อยๆ ในหมู่นักท่องเที่ยว เพราะนอกจากจะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ๆ แล้ว ยังมอบความสะดวกสบายในการเดินทางอีกด้วย แต่ก่อนออกเดินทาง สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยก็คือ "ใบอนุญาตขับขี่สากล" ซึ่งจะทำให้เราสามารถขับรถในต่างแดนได้อย่างถูกกฎหมาย วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับใบอนุญาตขับขี่สากลกันให้มากขึ้นดีกว่า ว่ามีกี่แบบ ทำได้อย่างไร และสามารถใช้ได้ในประเทศอะไรบ้าง

 

ใบอนุญาตขับขี่สากล คืออะไร?

ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์สากล หรือ International Driving Permit (IDP) คือเอกสารยืนยันตัวตนที่ออกให้โดยประเทศต้นทาง เพื่อใช้สำหรับขับขี่รถยนต์ในต่างประเทศที่รองรับใบขับขี่สากลอย่างถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางเพื่อท่องเที่ยว ทำงาน หรือไปศึกษาต่อ ก็สามารถใช้ใบขับขี่ประเภทนี้ได้

 

ใบอนุญาตขับขี่สากลมีกี่แบบ

ใบอนุญาตขับขี่สากลมี 2 ประเภทหลัก ๆ ตามอนุสัญญา 2 ฉบับ คือ "อนุสัญญาเจนีวา 1949" และ "อนุสัญญาเวียนนา 1968" แต่เดิมประเทศไทยมีเพียงใบขับขี่ตามอนุสัญญาเจนีวาเท่านั้น แต่หลังจากมีการแก้ไขเพิ่มเติมอนุสัญญาให้ครอบคลุมมากขึ้น จนเกิดเป็นอนุสัญญาเวียนนา ประเทศไทยจึงได้ประกาศให้ทำใบขับขี่ตามอนุสัญญาใหม่นี้ด้วย โดยเริ่มบังคับใช้ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2564 เป็นต้นมา

 

อนุสัญญาเจนีวา 1949

  • ใช้ได้กับ 101 ประเทศที่เป็นภาคีสมาชิก เช่น สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อิตาลี เป็นต้น
  • มีอายุการใช้งาน 1 ปี นับจากวันที่ออกใบอนุญาต
  • เป็นใบอนุญาตที่ประเทศไทยออกให้มาอย่างยาวนาน จนกระทั่งมีการเพิ่มอีกประเภทในปี 2564

อนุสัญญาเวียนนา 1968

  • ใช้ได้กับ 84 ประเทศ ซึ่งบางประเทศไม่ได้เป็นสมาชิกของอนุสัญญาเจนีวา
  • มีอายุการใช้งานนานถึง 3 ปี
  • ประเทศไทยเพิ่งเริ่มออกใบอนุญาตตามอนุสัญญานี้ ตั้งแต่ 1 พฤษภาคม 2564
  • เหมาะสำหรับผู้ที่จะเดินทางไปประเทศที่ไม่ได้เป็นภาคีของอนุสัญญาเจนีวา

 

ขั้นตอนการขอใบอนุญาตขับขี่สากล

ใครที่อยากทำใบขับขี่สากล เรามีขั้นตอนและเอกสารที่ต้องเตรียมสำหรับการขอใบอนุญาตขับขี่สากล มาฝากดังนี้

 

เอกสารที่ต้องใช้

  1. หนังสือเดินทางที่ยังไม่หมดอายุ (ฉบับจริงและสำเนา)
  2. บัตรประชาชน (ฉบับจริง)
  3. ใบอนุญาตขับขี่รถยนต์ส่วนบุคคล (แบบ 5 ปี) หรือแบบตลอดชีพที่ยังไม่หมดอายุ ทั้งรถยนต์ รถจักรยานยนต์ หรือรถสาธารณะ (ฉบับจริง)
  4. รูปถ่าย 2 นิ้ว (4x6 ซม.) 2 รูป ถ่ายไม่เกิน 6 เดือน หน้าตรง เห็นใบหน้าชัดเจน

กรณีเป็นชาวต่างชาติ ต้องใช้ใบอนุญาตขับรถ (ไม่ใช่ชั่วคราว), หนังสือเดินทางที่มีวีซ่า Non-Immigrant, ใบสำคัญถิ่นที่อยู่ หรือใบอนุญาตทำงาน (สามารถใช้แบบอิเล็กทรอนิกส์ได้) หรือหลักฐานการได้รับการตรวจลงตราพิเศษที่ยังไม่หมดอายุ
กรณีไม่ได้ไปยื่นด้วยตนเอง ให้เตรียมสำเนาเอกสารของผู้มอบอำนาจ รวมถึงหนังสือมอบอำนาจฉบับจริงพร้อมอากรแสตมป์ 10 บาท และบัตรประชาชนของผู้รับมอบอำนาจ

ค่าธรรมเนียมและระยะเวลา

  • ค่าธรรมเนียมในการขอใบอนุญาตขับขี่สากลอยู่ที่ 505 บาท
  • หลังยื่นเอกสารแล้วสามารถรอรับใบขับขี่ได้ทันที ณ สำนักงานขนส่งที่ยื่นเรื่องทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
  • เมื่อได้รับใบขับขี่สากลแล้ว ต้องใช้คู่กับใบขับขี่ของประเทศไทยทุกครั้งที่ขับรถในต่างประเทศ

 

 

ข้อควรระวังในการขับรถท่องเที่ยวต่างประเทศ

แม้จะมีใบขับขี่สากลแล้ว แต่การขับรถท่องเที่ยวในต่างแดนก็ยังมีความเสี่ยงที่ต้องระมัดระวังอยู่ ได้แก่

  • กฎจราจรและป้ายบอกทางที่แตกต่างกันในแต่ละประเทศ ต้องศึกษามาให้ดี
  • การจราจรที่หนาแน่น อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย ต้องใจเย็นและใช้ความระมัดระวังเป็นพิเศษ
  • ความคุ้มครองจากประกันภัยที่อาจไม่ครอบคลุมในต่างประเทศ จึงควรซื้อประกันเพิ่มเติม
  • สภาพภูมิอากาศ ภูมิประเทศ และสภาพถนนหนทางที่แตกต่าง อาจเป็นอุปสรรคในการขับขี่

ดังนั้น ก่อนออกเดินทางควรศึกษาข้อมูลประเทศที่ต้องการไปให้ดี และที่สำคัญควรเลือกซื้อประกันการเดินทางต่างประเทศ เพื่อให้การขับรถท่องเที่ยวเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัย ไม่ประมาท และห้ามละเลยกฎจราจรเด็ดขาด

 

สรุปบทความ

การขับรถท่องเที่ยวในต่างแดนเป็นประสบการณ์ที่น่าตื่นเต้นและได้สัมผัสวัฒนธรรมใหม่ ๆ อย่างใกล้ชิด แต่ก็ต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะกฎจราจรและมารยาทการขับขี่ในแต่ละประเทศนั้นไม่เหมือนกัน อาจนำไปสู่อุบัติเหตุได้ง่าย นอกจากต้องศึกษากฎระเบียบให้ดีแล้ว การทำประกันภัยรถยนต์ หรือประกันเดินทางไปด้วยจะยิ่งช่วยให้อุ่นใจมากขึ้น เพื่อให้การเดินทางตลอดทริปของคุณเป็นไปได้อย่างราบรื่น ปลอดภัย และมีความสุขที่สุด

#Tag: