รับรถใหม่ป้ายแดงวันแรกต้องเช็กอะไรบ้าง? ก่อนออกจากโชว์รูม
ใครที่เพิ่งเคยมีรถยนต์คันแรก ไม่ว่าจะเป็นรถยนต์ป้ายแดงหรือรถมือสอง ก็ต้องเตรียมตัวให้พร้อมทั้งเรื่องเอกสาร ค่าใช้จ่าย และการตรวจเช็กสภาพรถถือเป็นขั้นตอนที่สำคัญไม่ควรละเลย เพราะการตรวจสอบอย่างละเอียดจะช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่ารถที่คุณได้รับมีคุณภาพ ไม่มีปัญหาเรื่องการใช้งานในอนาคต
TIPINSURE แนะนำวิธีการตรวจสอบสภาพรถเบื้องต้นด้วยตัวเองก่อนออกจากโชว์รูม ช่วยให้คุณมั่นใจได้ว่าการออกรถใหม่ จะเป็นไปอย่างไม่มีสะดุด พร้อมขับขี่อย่างสบายใจ
ก่อนรับรถใหม่ ต้องตรวจจุดไหนบ้าง?
สภาพรถยนต์เป็นสิ่งแรกที่คุณควรเช็กให้ละเอียดถี่ถ้วนก่อนเซ็นเอกสารใดๆ เพื่อให้แน่ใจว่ารถยนต์อยู่ในสภาพพร้อมขับ และหากมีปัญหาใดเกิดขึ้นจะได้ขอดำเนินการซ่อมแซม หรือเปลี่ยนรถยนต์คันใหม่ที่มีประสิทธิภาพในการใช้งานกับทางศูนย์รถยนต์ได้ทันที มาเตรียม checklist กันเป็นข้อๆ เพื่อง่ายต่อการตรวจเช็ก
1. ตรวจสอบสภาพรถภายนอก
- ตัวถังรถ : จุดสำคัญที่ต้องทำการตรวจเช็กเป็นอันดับแรกๆ ให้ดูขอบสันข้างว่าแนวตรงดีหรือเปล่า ตัวถังมีรอยขีดข่วน รอยบุบเล็กๆ รอยสนิม หรือการแตกร้าวบนพื้นผิวตัวถังรถ
- ประตูรอบรถยนต์ : เปิดประตูทุกด้านว่ามีความหนืดของการเปิดหรือเปล่า ช่วงระหว่างเชื่อมประตูกับรถประตูมีสนิมมาเกาะหรือถูกพ่นสีทับใหม่ไหม เพราะจุดเล็กๆ เหล่านี้ หากตรวจเจอหลังจากรับรถมาแล้ว จะมีราคาซ่อมสูง
- กระจก : ตรวจสอบว่ามีรอยแตกหรือรอยร้าวหรือไม่ ลองเปิด-ปิดกระจก ตัวซีล กรอบของประตูและกระจก ประตูหลังรถยนต์ รวมไปถึงซันรูฟของรถยนต์บางรุ่น
- ระบบไฟหน้าและไฟท้าย : ตรวจสอบว่าไฟหน้ารถ ไฟท้าย ไฟเลี้ยว และไฟเบรกเกิดปัญหาไฟไม่สว่าง หรือติดๆ ดับๆ หรือเปล่า รวมถึงไฟสัญญาณรถยนต์ทั้งหมด
- ล้อและยาง : ตรวจดูสภาพล้อต้องไม่มีรอยบิ่น ยางรถยนต์มีอายุน้อยไม่มีรอยวิ่ง ตรวจสอบวันที่และปีผลิตของยาง โดยจะมีเลขระบุ เดือน สัปดาห์และปีที่ผลิต และต้องเติมลมยางตามมาตรฐานจากโรงงาน รวมถึงอุปกรณ์อะไหล่สำหรับการเปลี่ยนล้อในตอนฉุกเฉินทั้งหมด เช่น แม่แรง ยางและล้อสำรอง
2. ตรวจสอบสภาพรถภายใน
- ระบบปรับอากาศ : สิ่งแรกที่ควรตรวจสอบภายในรถ คือการทดสอบระบบปรับอากาศว่ามีลมเย็นออกจากช่องปรับอากาศทุกช่องหรือไม่ การกระจายของลม และมีเสียงดังผิดปกติเวลาเปิดแอร์หรือไม่
- เบาะนั่ง : วัสดุหุ้มเบาะ สภาพของเบาะรถยนต์ต้องไม่มีรอยขีดข่วน รอยฉีกขาด และลองปรับเบาะนั่งทุกตำแหน่ง เกิดการติดขัดหรือไม่ โดยเฉพาะเบาะที่ควบคุมด้วยไฟฟ้า ต้องปรับได้อย่างเรียบเนียนไม่สะดุด
- ระบบเสียง : ทดสอบการทำงานของเครื่องเสียง ความดังของลำโพงว่าครบทุกจุดหรือไม่ รวมถึงลองเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนและสวิตช์ควบคุมเครื่องเสียงบนพวงมาลัย
- อุปกรณ์เสริมต่างๆ : ตรวจสอบอุปกรณ์เสริมต่างๆ เช่น จุดที่ชาร์จโทรศัพท์, ช่องเก็บของ และไฟภายในห้องโดยสาร ว่าทำงานได้ตามปกติหรือไม่
3. ตรวจสอบระบบเครื่องยนต์
- เครื่องยนต์ : สตาร์ทรถและเร่งคันเร่ง เพื่อฟังเสียงเครื่องยนต์ว่ามีอาการสะดุด หรือมีเสียงอะไรผิดปกติหรือไม่ รวมถึงตรวจเช็กระดับน้ำมันเครื่อง และระดับของเหลวอื่นๆ ภายในเครื่องยนต์
- ระบบเบรก : ทดสอบระบบเบรกทั้งเบรกมือ และเบรกเท้า ด้วยการลองขับรถระยะสั้นๆ เพื่อดูการทำงานผิดปกติหรือไม่ ระบบเบรกจะต้องตอบสนองได้ดี ไม่มีเสียงผิดปกติจากเมื่อเบรกรถ
- ระบบเกียร์ : ทดสอบระบบเกียร์เวลาเปลี่ยนเกียร์ต้องลื่นไหล ไม่มีเสียงหรือการกระตุก และเบรกมือมีไฟขึ้นที่หน้าปัดหรือไม่เวลาดึงขึ้น
- ระบบพวงมาลัย : หมุนพวงมาลัยต้องไม่มีเสียงดังและติดขัดเวลาเลี้ยว และตรวจสอบว่าพวงมาลัยตั้งตรงหรือไม่
- แบตเตอรี่ : ตรวจเช็คว่าขั้วแบตเตอรี่ไม่มีคราบสนิมเกาะอยู่ และระดับไฟฟ้าในแบตเตอรี่อยู่ในเกณฑ์ที่ปกติพร้อมใช้งาน
4. ตรวจสอบอุปกรณ์ฉุกเฉินและความปลอดภัย
- ถุงลมนิรภัย : ตรวจสอบให้แน่ใจว่าระบบถุงลมนิรภัยอยู่ในสถานะพร้อมใช้งาน ทั้งฝั่งคนขับและผู้โดยสาร
- อุปกรณ์ฉุกเฉิน : เช่น ยางอะไหล่ แม่แรง สายพ่วงแบตเตอรี่ และอุปกรณ์ช่วยเหลืออื่นๆ ว่ามีครบถ้วนหรือไม่
- ระบบเบรก ABS และระบบควบคุมการทรงตัว : ทดสอบการทำงานของระบบเบรก ABS และระบบควบคุมการทรงตัว ว่าทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- กล้องและเซ็นเซอร์ถอยหลัง : เช็กกล้องและเซ็นเซอร์ถอยหลังสามารถทำงานได้เมื่อคุณเปลี่ยนเกียร์ถอย
5. ทดลองขับเพื่อความมั่นใจ
การทดลองขับรถก่อนการรับมอบ เป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้คุณได้สัมผัสถึงการทำงานจริงของรถยนต์ ตรวจสอบปัญหาหรือความผิดปกติขณะที่ใช้งาน ซึ่งในระหว่างขับให้ทดสอบระบบการขับเคลื่อน การบังคับเลี้ยว และการตอบสนองของรถ ทั้งในทางเรียบและทางที่มีความขรุขระ
รวมไปถึงค่อยฟังเสียงจากเครื่องยนต์ ระบบเกียร์ ระบบเบรก หรือส่วนอื่นๆ ว่ามีเสียงผิดปกติหรือไม่ขณะที่ขับขี่
ออกรถใหม่เลือกประกันรถยนต์แบบไหนดี
วิธีการตรวจสภาพรถก่อนรับรถมีขั้นตอนเยอะไปสักหน่อย แต่ก็เป็นสิ่งสำคัญอย่างมากเพื่อให้ได้รถที่มีคุณภาพพร้อมต่อการใช้งานจริง แต่ก็อย่าลืมขับรถโดยไม่ประมาท และเพิ่มพลังความคุ้มครองด้วยการทำประกันรถยนต์ชั้น 1 ไว้ปกป้องคุ้มครองทั้งตัวคุณและรถยนต์ ให้คุณขับขี่ได้อย่างอุ่นใจมากขึ้น กับประกันรถยนต์ TIPINSURE ที่สุดของความคุ้มครองครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง สอบถามรายละเอียดได้ที่ TIPINSURE.COM หรือโทร. 1736