รู้จักอาการ PMS ก่อนเมนส์มา บ่งบอกอะไรเราบ้าง
หลายคนคงคุ้นเคยกับช่วงเวลาก่อนมีประจำเดือน ที่มาพร้อมกับอาการก่อนเมนส์มาแบบคาดเดาไม่ได้ ทั้งอารมณ์แปรปรวน หงุดหงิดง่าย หรือร้องไห้โดยไม่มีเหตุผล ซึ่งหลายคนมักเข้าใจว่านี่เป็นเพียงอาการ PMS ธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่า อาการ PMS นั้นมีความซับซ้อนและบ่งบอกถึงการเปลี่ยนแปลงในร่างกายได้มากกว่าที่คิด วันนี้ TIPINSURE จะพาทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับอาการก่อนเมนส์มาให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เพื่อให้สาว ๆ สามารถดูแลตัวเองได้อย่างถูกต้องและมีความสุขมากขึ้น
อาการ PMS คืออะไร และเกิดขึ้นเมื่อไหร่
อาการ PMS (Premenstrual Syndrome) คือ กลุ่มอาการที่เกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือน โดยมักเกิดในช่วง 4-11 วันก่อนเมนส์มา สาเหตุหลักมาจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนและโปรเจสเตอโรนในร่างกาย พบได้ในช่วงอายุ 20-40 ปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งร่างกายและจิตใจ ทำให้เกิดอาการต่าง ๆ ที่รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน โดยผู้หญิงแต่ละคนอาจมีอาการ PMS ที่แตกต่างกันไป บางคนอาจมีอาการรุนแรง ในขณะที่บางคนอาจมีอาการเพียงเล็กน้อย ซึ่งอาการเหล่านี้สามารถหายเองได้หลังประจำเดือนมาแล้วประมาณ 4-7 วัน
อาการทางอารมณ์ของ PMS ที่พบบ่อย
อาการก่อนเมนส์มาที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์นั้นเป็นสิ่งที่สาว ๆ ส่วนใหญ่ต้องเผชิญ การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนส่งผลโดยตรงต่อสารเคมีในสมอง ทำให้เกิดความแปรปรวนทางอารมณ์ได้หลากหลายรูปแบบ
ความหงุดหงิดและอารมณ์แปรปรวน
อาการ PMS ที่พบบ่อยที่สุดคือความหงุดหงิดและอารมณ์แปรปรวน ซึ่งมักเกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุชัดเจน สาว ๆ อาจรู้สึกโกรธง่าย ควบคุมอารมณ์ได้ยาก หรือมีอารมณ์เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จากยิ้มแย้มกลายเป็นร้องไห้ในเวลาไม่กี่นาที สาเหตุมาจากการที่ฮอร์โมนไปกระทบระดับของสารเซโรโทนินในสมอง ซึ่งเป็นสารที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมอารมณ์และความรู้สึก
ความวิตกกังวลและซึมเศร้า
นอกจากความหงุดหงิดแล้ว อาการ PMS ยังอาจทำให้เกิดความวิตกกังวลและภาวะซึมเศร้าชั่วคราว บางคนอาจรู้สึกเศร้าโดยไม่มีเหตุผล มีความคิดด้านลบ รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเอง หรือกังวลมากกว่าปกติ อาการเหล่านี้มักเกิดขึ้นในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนมีประจำเดือน และจะดีขึ้นเองเมื่อเริ่มมีประจำเดือน
อาการทางร่างกายของ PMS ที่ควรสังเกต
นอกจากผลกระทบทางอารมณ์แล้ว อาการก่อนเมนส์มายังส่งผลต่อร่างกายในหลายด้าน การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วงนี้ทำให้เกิดความไม่สมดุลของน้ำและเกลือแร่ในร่างกาย ส่งผลให้เกิดอาการทางกายภาพต่าง ๆ ดังนี้
อาการปวดท้องน้อยและปวดหลัง
ในช่วงที่มีอาการ PMS ร่างกายมักจะเก็บกักน้ำไว้มากกว่าปกติ ทำให้รู้สึกบวมตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะที่ท้อง ข้อเท้า และนิ้วมือ บางคนอาจมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นชั่วคราว 1-2 กิโลกรัม เสื้อผ้าอาจรู้สึกคับกว่าปกติ อาการเหล่านี้มักจะดีขึ้นเองหลังจากมีประจำเดือนได้ 2-3 วัน
อาการบวมน้ำและน้ำหนักขึ้น
การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนในช่วง PMS อาจทำให้ร่างกายเก็บกักน้ำมากกว่าปกติ ส่งผลให้รู้สึกบวมตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะท้อง ขา และมือ น้ำหนักอาจเพิ่มขึ้นชั่วคราว 1-2 กิโลกรัม เสื้อผ้าอาจรู้สึกคับกว่าปกติ แต่อาการเหล่านี้จะดีขึ้นเมื่อมีประจำเดือน
ความเปลี่ยนแปลงของผิวหนังและหน้าอก
อาการก่อนเมนส์มายังส่งผลต่อผิวหนังและเต้านม เนื่องจากฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลง อาจทำให้เกิดสิวมากขึ้น ผิวหนังมันมากกว่าปกติ หน้าอกอาจคัดตึง เจ็บ หรือรู้สึกไวต่อการสัมผัสมากขึ้น บางคนอาจสังเกตเห็นรอยคล้ำใต้ตาชัดเจนขึ้น หรือผิวพรรณดูหมองคล้ำกว่าปกติ
อาการ PMS ที่อาจบ่งบอกถึงปัญหาสุขภาพอื่น ๆ
แม้ว่าอาการ PMS จะเป็นเรื่องปกติ แต่บางครั้งอาจเป็นสัญญาณเตือนถึงปัญหาสุขภาพที่ควรใส่ใจ โดยเฉพาะเมื่อมีอาการรุนแรงหรือผิดปกติ ซึ่งอาจต้องได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เพื่อการรักษาที่เหมาะสม
อาการปวดรุนแรงผิดปกติ
หากมีอาการปวดรุนแรงผิดปกติระหว่าง PMS จนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน อาจเป็นสัญญาณของโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ (Endometriosis) หรือเนื้องอกมดลูก ลักษณะความปวดที่ควรระวังคือ ปวดรุนแรงจนต้องหยุดงาน ไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ หรือยาแก้ปวดทั่วไปไม่สามารถบรรเทาอาการได้
ความผิดปกติของรอบเดือน
อาการ PMS ที่มาพร้อมกับความผิดปกติของรอบเดือน เช่น ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอ มามากหรือน้อยผิดปกติ อาจเป็นสัญญาณของภาวะเยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ ภาวะถุงน้ำรังไข่ หรือความผิดปกติของฮอร์โมน ซึ่งควรได้รับการตรวจวินิจฉัยจากแพทย์เพื่อหาสาเหตุและวิธีการรักษาที่เหมาะสม
วิธีบรรเทาอาการ PMS ด้วยตนเอง
การจัดการกับอาการ PMS สามารถทำได้หลายวิธี โดยเริ่มจากการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและวิถีชีวิตประจำวัน การดูแลตนเองอย่างเหมาะสมจะช่วยให้ผ่านช่วงเวลานี้ไปได้อย่างราบรื่นมากขึ้น
การปรับเปลี่ยนอาหารและการออกกำลังกาย
การควบคุมอาหารและออกกำลังกายสม่ำเสมอสามารถช่วยบรรเทาอาการ PMS ได้ ควรเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ลดอาหารเค็มเพื่อลดการบวมน้ำ เพิ่มการรับประทานผักและผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินและแร่ธาตุ การออกกำลังกายแบบเบา ๆ เช่น การเดิน โยคะ หรือว่ายน้ำ จะช่วยกระตุ้นการหลั่งเอนดอร์ฟิน ทำให้อารมณ์ดีขึ้น
เทคนิคการจัดการความเครียด
การจัดการความเครียดเป็นสิ่งสำคัญในการบรรเทาอาการ PMS ควรหาเวลาพักผ่อนให้เพียงพอ ฝึกเทคนิคการผ่อนคลาย เช่น การหายใจลึก ๆ การทำสมาธิ หรือการฟังเพลงที่ชื่นชอบ อาจลองทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลาย เช่น อ่านหนังสือ วาดรูป หรือทำงานอดิเรก เพื่อช่วยลดความเครียดและความวิตกกังวล
เมื่อไหร่ควรปรึกษาแพทย์เกี่ยวกับอาการ PMS
แม้ว่าอาการ PMS จะเป็นเรื่องปกติ แต่หากมีอาการรุนแรงจนกระทบต่อชีวิตประจำวัน ควรปรึกษาแพทย์โดยเร็ว โดยเฉพาะเมื่อมีอาการซึมเศร้ารุนแรง ความคิดทำร้ายตัวเอง ปวดท้องรุนแรงผิดปกติ มีเลือดออกผิดปกติ หรืออาการ PMS ที่รบกวนการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวันอย่างมาก แพทย์จะช่วยวินิจฉัยและวางแผนการรักษาที่เหมาะสมให้กับคุณ
สรุปบทความ
อาการ PMS เป็นภาวะปกติที่เกิดขึ้นก่อนมีประจำเดือน ซึ่งส่งผลกระทบทั้งต่อร่างกายและจิตใจ การเข้าใจและรู้เท่าทันอาการก่อนเมนส์มาจะช่วยให้เราจัดการกับอาการต่าง ๆ ได้ดีขึ้น หากมีอาการรุนแรงผิดปกติควรปรึกษาแพทย์ เพื่อได้รับการดูแลที่เหมาะสม และเพื่อให้มั่นใจในการดูแลสุขภาพอย่างครอบคลุม TIPINSURE ขอแนะนำประกันสุขภาพเหมาจ่ายโดยทิพยประกันภัย ที่ให้ความคุ้มครองครอบคลุมทุกการรักษา พร้อมดูแลคุณในทุกช่วงเวลาของชีวิต ใครกำลังวางแผนมองหาประกันสุขภาพที่ไหนดี เช็กความคุ้มครองในเว็บไซต์ได้เลย